เดือนมกราคม ญี่ปุ่นส่งออกพุ่ง 7.2% นำโดยรถยนต์และการต่อเรือ เกินดุลสหรัฐสูงถึง 477,000 ล้านเยน ท่ามกลางความเสี่ยงมาตรการกีดกันภาษีจากสหรัฐ
บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า ญี่ปุ่นมีการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในเดือนมกราคม หลังโดนัลด์ ทรัมป์ เผยนโยบายกีดกันทางการค้า (Protectionism) ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
กระทรวงการคลังญี่ปุ่น เผยข้อมูลในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2025 ว่ามูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น 7.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี (YOY) สอดคล้องตามคาดการณ์ นำโดยสินค้าหมวดหมู่รถยนต์และการต่อเรือ ส่วนการนำเข้าทะยานขึ้น 16.7% นำโดยอุปกรณ์การสื่อสาร (Communication Machinery) และคอมพิวเตอร์ เหนือกว่าค่ากลางที่ประมาณการไว้ ทำให้ญี่ปุ่นกลับมาขาดดุลการค้าอีกครั้งที่ 2.76 ล้านล้านเยน (ราว 612,963 ล้านบาท) มากสุดในรอบสองปี
เมื่อแบ่งตามภูมิภาค การส่งออกไปสหรัฐเพิ่มขึ้น 8.1% ขณะที่การส่งออกไปจีนลดลง 6.2% และสหภาพยุโรปร่วงมากสุดที่ 15.1%
แนวโน้มการค้าโลกมีความไม่แน่นอนมากขึ้น หลังทรัมป์กล่าวว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 25% กับสินค้ายานยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ และเภสัชภัณฑ์ เร็วสุดในวันที่ 2 เมษายน ซึ่งทรัมป์ชี้ว่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่านั้นได้อีก
ทาเคชิ มินามิ (Takeshi Minami) นักเศรษฐศาสตร์ จากโนรินชูคิน รีเสิร์ช อินสติติว (Norinchukin Research Institute) กล่าวว่า อุปสงค์มีการเร่งตัวอย่างเห็นได้ชัดในช่วงก่อนพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งไม่น่าใช่อุปสงค์ที่แท้จริง และมีความเป็นไปได้ที่การส่งออกจะลดลงมาสู่ระดับเดิม
จีนเริ่มโต้กลับมาตรการภาษีจากสหรัฐบ้างแล้ว ขณะที่โดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงออกมาตรการภาษีคุกคามชาติอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น การเพิ่มภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมนำเข้าอีก 25% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้เดือนมีนาคมนี้ และจะเรียกเก็บภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ต่อคู่ค้าหลายประเทศ
ญี่ปุ่นซึ่งมีคู่ค้ารายใหญ่เป็นสหรัฐและจีน ได้เรียกร้องสหรัฐให้ยกเว้นการเรียกเก็บภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมเพิ่มเติม รวมถึงนโยบายเรียกเก็บภาษีแบบตอบโต้อีกด้วย เพื่อลดขนาดผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นซึ่งเกินดุลกับสหรัฐมานาน และเกินดุลมากถึง 477,000 ล้านเยน (ราว 105,857 ล้านบาท) ในเดือนมกราคม อาจทำให้ทรัมป์ไม่พอใจ และพยายามขึ้นกำแพงภาษีเพื่อลดการขาดดุล โดยญี่ปุ่นส่งออกรถไปยังสหรัฐพุ่งขึ้นถึง 21.8% ในเดือนมกราคม
การส่งออกรถยนต์เป็นปัจจัยสำคัญต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น โดยเฉพาะในช่วงเวลาปัจจุบันที่ภาวะเงินเฟ้อส่งผลกระทบต่อการบริโภคภายในประเทศอย่างมาก ญี่ปุ่นอาจได้รับความเสียหายโดยตรงจากกำแพงภาษี และโดยอ้อมจากกำแพงภาษีในเม็กซิโกและแคนาดา ซึ่งเต็มไปด้วยโรงงานรถญี่ปุ่นหลายแห่ง
สหรัฐยังส่งสัญญาณขึ้นกำแพงภาษีต่อญี่ปุ่นต่อไป แม้อิชิบะ ชิเงรุ (Ishiba Shigeru) จะรับปากกับทรัมป์ในการพบปะกันเมื่อเดือนมกราคมว่าญี่ปุ่นจะเพิ่มการลงทุนในสหรัฐมากขึ้น ซึ่งข้อมูลจากสมาคมอุตสาหกรรมผู้ผลิตยานยนต์แห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan Automobile Manufacturers Association) แสดงให้เห็นว่าปี 2023 ญี่ปุ่นผลิตรถยนต์ 3.3 ล้านคันในสหรัฐ มากกว่าการนำเข้าที่ 1.5 ล้านคันเป็นสองเท่า
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังกล่าวว่าอัตราแลกเปลี่ยนเงินเยนต่อดอลลาร์ในเดือนมกราคมโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 157.20 เยนต่อดอลลาร์ อ่อนกว่าปีก่อน 9.2% (YOY) ซึ่งทรัมป์วิจารณ์ว่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงทำให้สหรัฐขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่น แต่ก็ไม่ได้พูดถึงประเด็นดังกล่าวอีกเลยหลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ
เงินเยนที่อ่อนค่าลงทำให้ต้นทุนการนำเข้าอาหารและพลังงานเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเงินเยนยังอ่อนค่าอยู่แม้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะพยายามปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องตลอดปีที่ผ่านมา ขณะที่รัฐบาลญี่ปุ่นให้เงินอุดหนุนครัวเรือนยากจนรับมือกับวิกฤตค่าครองชีพ
ทั้งนี้ ทาเคชิ มินามิ จากโนรินชูคิน ยังกล่าวด้วยว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นจะได้รับผลกระทบอย่างมาก หากสหรัฐเรียกเก็บภาษียานยนต์อีก 25% ในวันที่ 2 เมษายนนี้จริง ๆ อย่างไรก็ตาม ฐานการผลิตในญี่ปุ่นจะต้องลดลงไปอยู่ดี เนื่องจากทรัมป์เรียกร้องให้มีการตั้งโรงงานการผลิตในสหรัฐมากขึ้น